Banner_Aboutus

เรียน ท่านผู้ถือหุ้น

 

นโยบายหลักสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

ในกลุ่มทีพีไอโพลีนภายในปี ค.ศ.  2043 (หรือ พ.ศ.  2586)

 

ทีพีไอโพลีน มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยในส่วนของสิ่งแวดล้อมได้เชื่อมโยงการดำเนินการทั้งสามส่วน เศรษฐกิจหมุนเวียน  (Circular Economy ) เศรษฐกิจสีเขียว ( Green Economy) และเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy ) ร่วมกัน เรียกว่า Bio-Circular-Green Economy ( BCG ) มาใช้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุุณค่า โดยการนำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์และมุ่งที่จะดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดหมุนเวียน โดยการยกเลิกการใช้ถ่านหิน 100 % เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจการผลิตสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 นอกจากนี้ทีพีไอโพลีนมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ดำเนินธุรกิจโดยมีธรรมาภิบาลที่ดียึดหลักความถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ภายใต้จรรยาบรรณธุรกิจขององค์กร

 

ผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ที่สดใสต่อเนื่อง

ในปี 2565 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 13,371 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 730 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.78 เมื่อเทียบกับจำนวน 12,641 ล้านบาท ในปี 2564 โดยมีอัตราส่วนภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (สุทธิ) ต่อ EBITDA เพียง 4.47 เท่า (Net IBD/EBITDA)

โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติ 7,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.16 จากจำนวน 7,067 ล้านบาท ในปี 2564 โดยบันทึกกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 7,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 927 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.40  จากจำนวน 6,918 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรในปี 2565 จำนวน 7,845 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 7,573 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 437 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 166 ล้านบาท

 

ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้เป็น “A-” (Single A Minus) แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่”

ด้วยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นจากกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นสินค้าเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษ ตลอดจนความพยายามอย่างต่อเนื่องในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจวัสดุก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน รวมถึงโครงการทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินด้วยเชื้อเพลิงขยะชุมชน และมาตรการลดต้นทุนอื่นๆ สามารถสร้างผลกำไรและกระแสเงินสดที่มั่นคงให้กับกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทและบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) จาก เดิม ที่ระดับ “BBB+” (Triple B Plus) เป็น “A-” (Single A Minus) โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่”

 

ตั้งเป้ากลุ่มทีพีไอโพลีนเป็น Net Zero Greenhouse Gas  Emission Producer ภายในปี ค.ศ. 2043

คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูง มีนโยบายดำเนินธุรกิจมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยตั้งเป้าหมาย Net Zero Green House Gas Emission ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในกลุ่มทีพีไอโพลีนภายในปี ค.ศ.  2043 (หรือ พ.ศ.  2586) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (จากกิจกรรมการนำขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ของบริษัท และในกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์)  โดยที่ประเทศไทยประกาศว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี ค.ศ. 2065)

ทั้งนี้ ในปี 2565 โรงงานปูนซิเมนต์สามารถนำขยะจำนวนประมาณ 360,675.09 ตัน หรือ ประมาณ 12.29% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด (จากที่ได้ตั้งเป้าไว้ 25%)  เนื่องจากในปี 2565 โรงปูนซิเมนต์ทั้ง 4 สายการผลิตได้ทยอยนำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินแล้วเสร็จ ตามลำดับ อย่างไรก็ตามโรงปูนซิเมนต์สายการผลิตสุดท้ายที่แล้วเสร็จ ได้เริ่มใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในเดือนธันวาคม 2565 นี้ ดังนั้นจึงคาดว่าปี 2566 โรงปูนซิเมนต์จะสามารถใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหินได้เต็มที่ 25%  

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทสามารถนำขยะจำนวนรวมประมาณ 2.73 ล้านตัน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและปูนซิเมนต์ โดยโรงไฟฟ้า TG7 ได้ทยอยใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหินตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และจะสามารถใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหินได้ 100% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 เป็นต้นไป ส่วนโรงไฟฟ้า TG8 ได้ทยอยใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในปี 2565 แล้วประมาณ 10% โดยจะสามารถใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหินได้ 100% ในปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าของกลุ่มทีพีไอโพลีนเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Coal Free Power Plant)

 

ปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ

            ในช่วงต้นปี 2566 กลุ่มทีพีไอโพลีนได้มีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้

  1. บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จำกัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพืช เช่น ปุ๋ยชีวอินทรีย์ และสารปรับสภาพดิน เป็นต้น และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับปศุสัตว์และประมง เช่น ผงเหลือง ไบโอแซน เป็นต้น
  2. บริษัท ทีพีไอ ไบโอ ฟาร์มาซูติคอลส์ จำกัด มีโครงการลงทุนก่อสร้างโรงผสมยา สำหรับการผลิตยาแผนปัจจุบันสำหรับคน (ในรูปผงและเม็ด) ซึ่งบริษัทจะดำเนินขอขึ้นทะเบียนยาแผนปัจจุบันสำหรับคน กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และขอใบอนุญาตรับรองมาตรฐาน GMP ต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีนมีทีมงานเภสัชกรวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เอง ใช้วัตถุดิบที่เป็นสารออกฤทธิ์ที่อยู่ใน  รายชื่อตำรับยาแผนปัจจุบัน  ภายใต้กรรมวิธีการผลิตที่สะอาด ทันสมัย และปลอดภัยต่อผู้บริโภค

  1. บริษัท ทีพีไอ รักษ์สุขภาพ จำกัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับชีวะอนามัย เช่น ผง Bio Knox น้ำยาบ้วนปาก สบู่ และน้ำยาขจัดคราบ เป็นต้น

 

เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงเดินหน้าลดผลกระทบด้านมลภาวะจากการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า อาทิเช่น การขนส่งวัตถุดิบหินก่อสร้างในโรงงานของบริษัท โดยการนำรถไฟฟ้า และระบบสายพานมาใช้ลำเลียงขนส่งหินจากเหมืองถึงโรงงานแทนรถที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน โดยกลุ่มทีพีไอโพลีนมีนโยบายเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ขนส่งผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทจากระบบสันดาปมาเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดทั้งต้นทุนค่าขนส่ง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5

 

ลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการคงสภาพเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนมั่นคง (Sustainability Risk)

กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่มีอัตรากำไรและอัตราการเติบโตที่สูง พร้อมๆกับการบริหารต้นทุนการผลิตและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังคงเน้นพัฒนาเทคโนโลยีและนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนมั่นคง (Sustainability Risk) เนื่องจากปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆ มีอิทธิพลมากขึ้น เพราะทุกธุรกิจต้องใช้เทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน   เนื่องจากหากไม่มีการพิจารณาการลงทุนใหม่จะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และทำให้ไม่สามารถสร้างรายรับอย่างยั่งยืนได้ หรือ อาจทำให้บริษัทต้องล้มเลิกกิจการไปในที่สุด หากไม่สามารถติดตาม Disruptive Industry ได้ทัน นอกจากนี้กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงมีการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรด้วยการวิเคราะห์ความเสี่ยง และการตอบสนองต่อความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

 

เป็นผู้นำในธุรกิจโพลิเมอร์เกรดพิเศษ (Specialty Polymer)

               บริษัทประสบความสำเร็จในการมุ่งสู่ตลาดเทคโนโลยี โดยสามารถเปลี่ยนธุรกิจโพลิเมอร์ (Polymer) ไปสู่ผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์เกรดพิเศษ (Specialty Polymer)  เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรที่สูงกว่า โดยการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งผู้ผลิตรายใหญ่อื่นไม่สามารถผลิตได้ ทำให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และมีอัตรากำไรที่สูงกว่าตลาดโดยทั่วไป  ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงจำเป็นต้องทำการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ดังกล่าวเอง โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในเอเชีย โดยได้พัฒนาผลิตตัวอย่างสินค้ามาใช้สำหรับการทดสอบและทดลองตลาดใหม่ ๆ ก่อนที่จะพัฒนานำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับสายการผลิตจริงในอนาคต โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษประเภทใหม่ได้ ภายในปี 2567

 

ทีพีไอโพลีน และการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน

ในปี 2565 คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้นำประเด็นความยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน ที่เป็นสาระสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านศรษฐกิจ รวมถึงการกำกับดูกิจการที่ดี เพื่อกำหนดเป็นนโยบายด้านความยั่งยืน โดยกำหนดให้เป็นเครื่องมือเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ให้บรรลุวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาความยั่งยืน ให้สอดคล้องกับทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทีพีไอโพลีน โดยได้มีการนำประเด็นความยั่งยืนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทมาจัดทำรายงานความยั่งยืนปี 2565 ตามมาตรฐานขององค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยรายงานสากล (Global Reporting Initiative : GRI) 

 

ผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

ด้วยผลสำเร็จจากการที่บริษัทได้นำคุณค่าแห่งความยั่งยืนมาขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับรางวัลและการรับรองจากองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ ในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ดังนี้

  1. ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนในปี 2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์
  2. ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) ประจำปี 2565 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  3. ได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ประจำปี 2565 โดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในระดับดีมาก (Very Good)

ในนามของคณะกรรมการบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ใคร่ขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น  ท่านผู้ถือหุ้นกู้  สถาบันการเงินต่างๆ  พนักงานของบริษัท และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ที่ได้ร่วมให้ความสนับสนุน  และให้ความไว้วางใจต่อกลุ่มทีพีไอโพลีน ด้วยดีตลอดมา ส่งผลให้กลุ่มทีพีไอโพลีนประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเป็นพลังผลักดันสำคัญให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งให้แก่องค์กร ชุมชน และประเทศชาติ  รวมถึงการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลที่ดี สังคม และการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจากภัยธรรมชาติ เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อความยั่งยืนต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

 

นายขันธ์ชัย วิจักขณะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร